วันพฤหัสบดีที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2562

หน่วยที่ 1 ระบบสารสนเทศเพื่อสนับสนุนการตัดสินใจ

  • ระบบสารสนเทศ

     ระบบสารสนเทศ (Information Systems) คือ กระบวนการรวบรวม บันทึก ประมวลผลข้อให้เป็นสารสนเทศ และแจกจ่ายสารสนเทศเพื่อใช้ในการวางแผน ควบคุมการทำงาน และช่วยในการสนับสนุนการตัดสินใจ


1.ฮาร์ดแวร์ (Hardware) คืออุปกรณ์อิเล็กซ์ต่างๆ ที่ใช้ในการประมวลผลหรือสร้างสารสนเทศ เช่น คอมพิวเตอร์ แผ่นซีดี เครื่องพิมพ์ 
2.ซอฟต์แวร์ (Software) คือ ชุดคำสั่งที่ทำให้คอมพิวเตอร์ทำงานตามความต้องการของผู้ใช้ระบบสารสนเทศ ซอฟต์แวร์ที่ใช้งานกับคอมพิวเตอร์แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ
          -ซอฟต์แวร์ระบบ เช่น ระบบปฏิบัติการ Microsoft Window XP
          -ซอฟต์แวร์ประยุกต์ เช่น Microsoft Excel , Microsoft Word
3.ข้อมูลและสารสนเทศ (Data and Information) -ข้อมูล คือ ข้อเท็จจริงต่างๆ ซึ่งอาจอยู่ในรูปแบบของตัวเลข ตัวอักษร สัญลักษณ์ รูปภาพ เสียง เมื่อข้อมูลผ่านการประมวลผลเรียกว่าสารสนเทศ
4.บุคลากร (Peopleware) คือ ผู้ที่เกี่ยวข้องกับระบบสารสนเทศ แบ่งได้ 4 ระดับ คือ
 - นักวิเคราะห์ระบบ (System Analyst)
 - โปรแกรมเมอร์ (Programmer)
 - เจ้าหน้าที่ฝ่ายปฎิบัติงานเครื่อง (Operator)
 - ผู้ใช้งาน (User)
5.กระบวนการทำงาน (Procedure) คือ ขั้นตอนการทำงานเพื่อให้ได้สารสนเทศตามที่ต้องการ เช่น การใช้บริการร้านเช่าหนังสือมีกระบวนการทำงาน 
5.1 การนำเข้า (Input) เป็นการนำข้อมูลและสารสนเทศต่างๆ ที่ได้จากการเก็บรวบรวมเข้าสู่ระบบ 
5.2 การประมวลผล (Process) เป็นการนำข้อมูลที่ได้ไปประมวลผลตามเงื่อนไขที่กำหนด โดยการเรียงลำดับ การคำนวณ 
การจัดรูปแบบ และการเปรียบเทียบ ตัวอย่างการประมวลผล 
5.3 การแสดงผล (Output) เป็นการนำผลลัพธ์ที่ได้จากการประมวลผลมาแสดงในรูปแบบที่ผู้ใช้ต้องการเพื่อส่งเสริมหรือช่วยการตัดสินใจ เช่น การแสดงค่าเช่าหนังสือที่ต้องชำระ
5.4 การจัดเก็บ (Storage) เป็นการจัดเก็บข้อมูลหรือสารสนเทศทั้งหมดที่เกี่ยวกับระบบสารสนเทศ เพื่อให้ผู้ใช้ระบบสารสนเทศสามารถนำข้อมูลและสารสนเทศนั้นกลับมาใช้ใหม่ได้ในอนาคต 

ลักษณะของ DSS (Decision support System)


เป็นซอฟต์แวร์ประยุกต์ที่ช่วยในการจัดการรวบรวม และวิเคราะห์ข้อมูลที่มีซับซ้อน ซึ่งตอบสนองของผู้ใช้งาน ปัญหาที่แก้ไขด้วย DSS จะเป็นข้อมูลที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ตัวอย่างการใช้งาน DSS เช่น เมื่อเจ้าของกิจการต้องการปรับปรุงเครื่องจักรสำหรับผลิตปลากระป๋อง เจ้าของกิจการจะต้องนำเข้าข้อมูลต่างๆลงใน DSS เพื่อประมวลผลตามแบบจำลองที่สร้างไว้ว่าจะเกิดความคุ้มค่าหรือไม่ จากนั้นเจ้าของกิจการจึงจะตัดสินใจว่าควรจะซื้อเครื่องจักรใหม่ ซ่อมแซมเครื่องจักรเก่า หรือเลื่อนการดำเนินการออกไปก่อนเพราะไม่เกิดความคุ้มค่าในการลงทุน


ประโยชน์ของ DSS (Decision support System)

ให้ความสำคัญกับการนำสารสนเทศไปประกอบการตัดสินใจเพื่อปฏิบัติงานในชั้นต่างๆ ของกระบวนการทำงาน ซึ่งไม่ใช่การรวบรวมและการแสดงข้อมูลที่ใช้งานประจำวันทั่วๆไป
1.ช่วยประมวลผลและนำเสนอข้อมูลแก่ผู้ใช้เพื่อสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับกระบวนการทำงานและเป็นแนวทางการตัดสินใจ
2.ช่วยประเมินทางเลือกในการตัดสินใจภายใต้เงื่อนไขของปัญหาแต่ละสถานการณ์ทีมีลักษณะเฉพาะของสถานการณ์นั้นๆ
3.ช่วยสนับสนุนการตัดสินใจในปัญหาที่มีความสลับซับซ้อนและข้อมูลที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
4.ช่วยสร้างความยืดหยุ่น ความสมบูรณ์ และความสะดวกในการตัดสินใจ
5.ช่วยเพิ่มพัฒนาการและความเข้าใจในศักยภาพการทำงานของเทคโนโลยีสารสนเทศที่ครอบคลุมมากกว่าการปฏิบัติงานทั่วๆไป
6. ช่วยนำเสนอข้อมูลในรูปแบบที่หลากหมาย เช่น ตัวอักษร แผนภูมิ ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว มัลติมีเดีย
7.ช่วยในการตัดสินใจที่ต้องการความรวดเร็วสูง ส่งเสริมการกำหนดกลยุทธ์ในการแข่งขันทางธุรกิจในองค์กรต่างๆ
8. ช่วยส่งเสริมการทำงานร่วมกันของบุคลากรในองค์กรด้วยการโต้ตอบแบบทันที

ส่วนประกอบของ DSS

จะมีผลกระทบต่อประสิทธิภาพการตัดสินใจโดยตรง คือ ส่วนประกอบที่ดีจะทำให้เกิดกระบวนการทำงานที่มีประสิทธิภาพน่าเชื่อถือ แต่ถ้าส่วนประกอบไม่ดีก็จะทำให้กระบวนการทำงานขาดประสิทธิภาพ
1.อุปกรณ์ เป็นส่วนประกอบที่รวมฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ของคอมพิวเตอร์แบ่งตามบทบาทและหน้าที่ได้เป็น 3 กลุ่ม คือ
อุปกรณ์ประมวลผล ปัจจุบัน DSS สามารถใช้งานด้วยคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลหรือพีซี ที่มีการเชื่อมต่อระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ซึ่งสามารถติดตั้งซอฟต์แวร์ประเภท DSS โดยเฉพาะหรือประยุกต์ใช้ซอฟต์แวร์พื้นฐานประเภท ซอฟต์แวร์ตารางคำนวณ (Spreadsheet) หรือ ซอฟต์แวร์จัดการฐานข้อมูล (Database) ก็ได้
อุปกรณ์สื่อสาร เป็นการใช้ประโยชน์จากเครือข่ายคอมพิวเตอร์เพื่อส่งเสริมการทำงานระยะไกลและการทำงานเป็นกลุ่ม โดยเครือข่ายที่นิยมใช้ คือ เครือข่ายแลน (LAN : Local Area Network) สำหรับองค์กรขนาดเล็กและเครือข่ายแมน (MAN : Metropolitan Area Network) สำหรับองค์กรขนาดเล็ก ทำให้ต้องติดตั้งวีดีโอคอนเฟอร์เรนซ์ (Video Conference) เพิ่มในระบบเพื่อช่วยในการประชุมทางไกล (Teleconference) ของผู้ใช้งาน
อุปกรณ์แสดงผล การใช้งาน DSSจำเป็นต้องมีอุปกรณ์แสดงผลที่มีประสิทธิภาพและตอบสนองต่อรูปแบบของข้อมูลนั้นๆ เพื่อช่วยถ่ายทอดข้อมูลและสารสนเทศที่ชัดเจน เช่น จอภาพคอมพิวเตอร์ที่มีความละเอียดสูงและสามารถแสดงผลในรูปแบบของมัลติมีเดีย 
2.ระบบการทำงานของ DSS มีลักษณะเป็นชุดคำสั่งเฉพาะที่สร้างและพัฒนาขึ้นในรูปแบบที่เตกต่างกันตามลักษณะขององค์กร แบ่งเป็น 3 ส่วน คือ
ฐานข้อมูล (Database) เป็นการจัดเก็บข้อมูลและสารสนเทศเฉพาะการทำงานของ DSS ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ซึ่งจะช่วยในการแสดงผล ณ ขณะนั้นของระบบ
ฐานแบบจำลอง (Model Base) เป็นการรวบรวมแบบจำลองทางคณิตศาสตร์และแบบจำลองการวิเคราะห์ปัญหาของระบบเพื่อช่วยในการประมวลผลข้อมูล
ระบบชุดคำสั่ง (Software System) เป็นส่วนประกอบที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการโต้ตอบระหว่างผู้ใช้ฐานข้อมูล และฐานแบบจำลอง มักมีรูปแบบของระบบชุดคำสั่งในลักษณะของหน้าต่างโปรแกรม
3. ข้อมูล โดย DSS จะเก็บข้อมูลไว้ที่ฐานข้อมูลเพื่อนำไปประมวลผลในฐานแบบจำลองแล้วนำเสนอด้วยระบบชุดคำสั่ง ซึ่งข้อมูลดังกล่าวจะต้องมีปริมาณเพียงพอต่อการใช้งาน มีความถูกต้อง ทันสมัย มีความยืดหยุ่น และสามารถนำมาจัดและนำเสนอในรูปแบบเพื่อการวิเคราะห์ได้อย่างเหมาะสม
4. บุคลากร เป็นส่วนประกอบที่มีบทบาทต่อการกำหนดเป้าหมายและความต้องการ การพัฒนา การออกแบบ และการใช้งาน
ผู้ใช้ (End – User) เป็นผู้นำเข้าข้อมูลและรับข้อมูลจาก DSS โดยไม่เกี่ยวข้องกับการประมวลผลโดยตรงของระบบสารสนเทศ
ผู้สนับสนุนระบบสารสนเทศ (DSS Support) เป็นผู้ควบคุม ดูแลรักษาอุปกรณ์ และระบบการทำงานให้มีความสมบูรณ์และสามารถประมวลผลได้เต็มประสิทธิภาพตามความต้องการของผู้ใช้

ระบบสารสนเทศเพื่อสนับสนุนการตัดสินใจของบุคคล

     เป็นระบบสารสนเทศที่มีผู้ใช้หรือผู้ตัดสินใจเพียงคนเดียว ซึ่งเป็นระบบสารสนเทศที่ช่วยสนับสนุนการวิเคราะห์ปัญหา ศึกษาแนวโน้มของเรื่องที่สนใจ ส่วนจะนำเสนอเป็นรูปแบบตาราง กราฟ เพื่อให้เข้าใจง่านและประหยัดเวลา ช่วยให้การตัดสินใจมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ช่วยประหยัดเวลาในการสร้างความเข้าใจและการตัดสินใจของผู้บริหาร สามารถนำสารสนเทศจาก EIS ไปอ้างอิงเพื่อดำเนินการทางธุรกิจได้สะดวกยิ่งขึ้น

ระบบสารสนเทศเพื่อสนับสนุนการตัดสินใจแบบกลุ่ม

      เป็นระบบสารสนเทศที่พัฒนามาจากระบบสารสนเทศสนบสนุนการตัดสินใจของบุคคลเรื่องจากการทำงานภายในองค์กรมักใช้การวิเคราะห์ข้อมูลจากผู้ใช้ที่มีจำนวนมากกว่า 1 คนในการตัดสินใจการแก้ปัญหา ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและความน่าเชื่อถือในผลการตัดสินใจนั้นๆ
GDSSจึงต้องทำงานบนเครือข่ายคอมพิวเตอร์และมีอุปกรณ์ส่งเสริมการทำงานร่วมกันเป็นกลุ่มติดตั้งเพิ่มขึ้นในระบบสารสนเทศGDSS ทำให้เกิดประโยชน์ดังนี้ 
1.เกิดความร่วมมือกันภายในองค์กรมากยิ่งขึ้นเนื่องจากทุกคนในองค์กรสามารถแสดงความคิดเห็นหรือนำข้อมูลใน GDSS ได้
2.ลดอคติต่อแหล่งที่มาของข้อมูลและช่วยกระตุ้นความคิดเห็นใหม่ ๆ เนื่องจากผู้แสดงความคิดเห็นผ่านทาง GDSS ไม่จำเป็นต้องแสดงข้อมูลของตนเอง
3. ลดปัญหาความขัดแย้งของข้อมูล เนื่องจาก GDSS จะรวบรวมข้อมูลจากฐานข้อมูลเดียวเท่านั้น ข้อมูลที่นำเสนอไปยังผู้ใช้ทุกคนจึงเป็นข้อมูลเดียวกัน
4.เพิ่มประสิทธิภาพและความน่าเชื่อถือของผลการตัดสินใจ เนื่องจากเป็นผลการตัดสินใจจากผู้ใช้หลายคน ปัจจุบันมีการนำ GDSS มาใช้งานอย่างหลากหลายมากยิ่งขึ้น เช่น การประชุมทางไกล การสอบถามความคิดเห็น การลงคะแนนเสียง

วันพฤหัสบดีที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2561

หน่วยที่ 3 รูปแบบการเชื่อมโยงเครือข่าย


ลักษณะการเชื่อมโยงเครือข่าย

การเชื่อมโยงเครือข่ายแบบจุดต่อจุด (Point-to-Point)

คือ การเชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์สองอุปกรณ์ที่เชื่อมโยงเข้าถึงกันเท่านั้น โดยช่องทางการสื่อสารจะถูกจับจองสำหรับอุปกรณ์สองอุปกรณ์เพื่อใช้สื่อสารระหว่างกัน อย่างไรก็ตาม หากโหนดคู่ใดที่ไม่มีสายส่งถึงกัน ก็สามารถสื่อสารผ่านโหนดที่อยู่ติดกันได้ เพื่อส่งทอดต่อไปเรื่อยๆ จนถึงโหนดปลายทางที่ต้องการ เช่น ลักษณะการเชื่อมต่อระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์พีซีแต่ละเครื่องมีเพียงสายเพียง 1 สายต่อเชื่อมโยงกันในการทำงาน หรือในเครื่องที่ทำหน้าที่เป็นเครื่องปลายทาง 1 เครื่อง เชื่อมต่อกับเครื่องเมนเฟรมโดยใช้สาย 1 เส้น หรือในอีกกรณีหนึ่งเครื่องคอมพิวเตอร์ 2 เครื่องสื่อสารกันโดยใช้การส่งข้อมูลผ่านคลื่นไมโครเวฟ





ข้อดี

- สามารถใช้ความเร็วในการสื่อสารระหว่างกันได้อย่างเต็มที่ จึงเหมาะสมกับการที่ต้องส่งข้อมูลได้คราวละมากๆ แบบต่อเนื่องกันไป 
- มีความปลอดภัยในข้อมูล เพราะมีการเชื่อมต่อกันระหว่างโหนดสองโหนดเท่านั้น

ข้อเสีย

-ไม่เหมาะกับเครือข่ายที่มีขนาดใหญ่
- หากเครือข่ายมีจำนวนโหนดเพิ่มมากขึ้น ก็จะต้องใช้สายในการเชื่อมโยงหรือสายในการสื่อสารเพิ่มมากขึ้นด้วย

อ้างอิง http://nestext.com/

การเชื่อมโยงเครือข่ายแบบหลายจุด (Multi Point)

คือ การเชื่อมโยงเครือข่ายที่ใช้เส้นทางหรือลิงก์เพื่อการสื่อสารร่วมกันหรือกล่าวง่ายๆ คือ อุปกรณ์ต่างๆ สามารถสื่อสารระหว่างกันได้ด้วยการใช้ลิงก์หรือสายสื่อสารเพียงเส้นเดียว ดังนั้นวิธีการเชื่อมโยงชนิดนี้ทำให้ประหยัดสายส่งข้อมูลกว่าแบบการเชื่อมโยงเครือข่ายแบบจุดต่อจุด หรือ Point-to-Point โดยระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่แล้วใช้วิธีการเชื่อมโยงแบบหลายจุด




ข้อดี

- ประหยัดสายส่งข้อมูล
- การเพิ่มเติมโหนดสามารถเพิ่มได้โดยง่ายด้วยการเชื่อมต่อเข้ากับสายส่งที่ใช้งานร่วมกันได้ทันที

ข้อเสีย

- หากสายส่งข้อมูลขาด จะมีผลกระทบต่อระบบเครือข่าย
- ไม่เหมาะกับการส่งข้อมูลแบบต่อเนื่องที่มีข้อมูลคราวละมากๆในเวลาเดียวกัน


อ้างอิง http://www.il.mahidol.ac.th/e-media/computer/network/net_topology11.htm


รูปแบบการเชื่อมโยงเครือข่าย


โทโปโลยีแบบบัส (Bus Topology)

การเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องบนสายสัญญาณหลักเส้นเดียว ที่เรียกว่า BUS
ทีปลายทั้งสองด้านปิดด้วยอุปกรณ์ที่เรียกว่า Teminator ไม่มีคอมพิวเตอร์เครื่องใดเครื่องหนึ่งเป็นศูนย์กลางในการเชื่อมต่อ





ข้อดี

- ใช้สายส่งข้อมูลน้อยและมีรูปแบบที่ง่ายในการติดตั้ง ทำให้ลดค่าใช้จ่ายในการติดตั้งและบำรุงรักษา
- สามารถเพิ่มอุปกรณ์ชิ้นใหม่เข้าไปในเครือข่ายได้ง่าย

ข้อเสีย

- ในกรณีที่เกิดการเสียหายของสายส่งข้อมูลหลัก จะทำให้ทั้งระบบทำงานไม่ได้
- การตรวจสอบข้อผิดพลาดทำได้ยาก ต้องทำจากหลายๆจุด

อ้างอิง https://oonuma55.wordpress.com


โทโพโลยีแบบดาว (Star Topology)

เป็นแบบการต่อเชื่อมสายต่อสื่อสารแบบจุดต่อจุด โดยสถานีทุกสถานีในเครือข่ายจะต่อเข้ากับหน่วยสลับสายกลางแบบจุดต่อจุด การติดต่อสื่อสารระหว่างสถานีจะกระทำได้ด้วยการติดต่อผ่านทางวงจรของหน่วยสลับสายกลาง การทำงานของหน่วยสลับสายกลางจึงคล้ายกับศูนย์กลางของการต่อวงจรเชื่อมโยงระหว่างสถานีต่าง ๆ ที่ต้องการติดต่อกัน






ข้อดี
- มีความคงทนมากกว่าแบบบัส โดยหากสายเคเบิลทางโหนดเสียหายจะไม่กระทบต่อโหนดอื่น ๆ
- การวิเคราะห์จุดเสียหายบนเครือข่ายทำได้ง่ายกว่า เนื่องจากมีฮับเป็นศูนย์กลาง
- สามารถเพิ่มเติ่มอุปกรณ์ หรือถอดอุปกรณ์ออกได้ง่ายและไม่รบกวนส่วนอื่น

ข้อเสีย

- สิ้นเปลืองสายเคเบิล เนื่องจากทุก ๆ โหนดต้องมีสายเคเบิลเชื่อมโยงกับฮับ
- ถ้า Hub/Switch ที่เชื่อมอยู่ตรงกลางมีปัญหา จะทำให้ระบบเครือข่ายทั้งหมดมีปัญหาไปด้วย
- ค่าใช้จ่ายสูงกว่าการต่อแบบ Bus เนื่องจากจำเป็นต้องมี Hub หรือ Switch เชื่อมตรงกลาง

อ้างอิง http://chummy-online.blogspot.com/2012/12/star-topology.html

โทโปโลยีแบบวงแหวน (Ring Topology)

โทโปโลยีแบบวงแหวนนั้น โหนดแรกและโหนดสุดท้ายจะเชื่อมโยงถึงกัน จึงทำให้เกิดมุมมองทางกายภาพเป็นรูปวงกลมขึ้นมา แต่ละโหนดบนเครือข่ายแบบวงแหวนนั้นจะส่งทอดสัญญาณไปในทิศทางเดียวกัน ด้วยการส่งทอดไปยังที่ละโหนดถัดไปเรื่อย ๆ นั้นหมายความว่า แต่ละโหนดบนเครือข่ายจะทำหน้าที่เป็นเครือข่ายจะทำหน้าที่เป็นเครื่องทวนสัญญาณไปในตัวนั่นเอง





ข้อดี

- สิทธิในการส่งข้อมูลของแต่ละโหนดภายในเครือข่ายมีความเท่าเทียมกัน
- ประหยัดสายเคเบิล
- การติดตั้งไม่มยุ่งยาก รวมถึงการเพิ่มหรือลดโหนดทำได้ง่าย


ข้อเสีย

- สายเคเบิลที่ใช้เป็นวงแหวน หากเกิดการชำรุดเสียหาย เครือข่ายจะหยุดการทำงานลง
- หากมีบางโหนดบนเครือข่ายเกิดขัดข้อง จะยากต่อการตรวจสอบและค้นหาโหนดที่เสีย

อ้างอิง https://sites.google.com/site/thuksinbc31/home


วันพฤหัสบดีที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

คำถามท้ายหน่วยที่ 2 ช่องทางการสื่อสารและส่วนประกอบของเครือข่าย

1.สื่อกลางส่งข้อมูลชนิดใดต่อไปนี้สามารถเชื่อมโยงได้ระยะทางไกลที่สุด

   ก. สายโคแอกเชียล   
   ข. สายใยแก้วนำแสง
   ค. สายเอสทีพี
   ง. สายยูทีพี

2.การส่งสัญญาณแบบมีสายสัญญาณแบบใดที่มีความเร็วสูงสุด

   ก. สายโคแอกเซียล
   ข. สายคู่บิดเกลียว
   ค. สายใยแก้วนำแสง
   ง. สายแกนนำโลหะ

3.สื่อไร้สายข้อใดจำเป็นต้องใช้เงินลงทุนสูงที่สุด

   ก. โทรศัพท์เซลลูลาร์
   ข. ไมโครเวฟ
   ค. ดาวเทียม 
   ง. ถูกทุกข้อ

4.สื่อไร้สายข้อใดมีความปลอดภัยต่อการดักจับข้อมูล

   ก. คลื่นวิทยุ
   ข. บลูธูท
   ค. ไมโครเวฟ
   ง. อินฟราเรด

5.บลูทูธ (bluetooth) เป็นเทคโนโลยีสื่อสารที่อาศัยสื่อกลางไร้สายในข้อใด

   ก. คลื่นวิทยุ
   ข. ดาวเทียม
   ค. อินฟราเรด 
   ง. ไมโครเวฟ

6.ช่วงความถี่ของคลื่นไมโครเวฟ(Microwave) คือข้อใด

   ก. 1- 350 GHz
   ข. 1- 300 GHz
   ค. 1- 250 GHz
   ง. 1- 200 GHz

7.อินฟราเรด (Infrared) มีลักษณะการทำงานคล้ายกับอะไร

   ก. คลื่นวิทยุ (Radio waves)
   ข. บลูทูธ (bluetooth)
   ค. ดาวเทียมสื่อสาร (Astilite)
   ง. ไมโครเวฟ(Microwave)

8.คลื่นวิทยุ (Radio waves)คลื่นวิทยุมีช่วงความถี่เท่าใด

   ก. 1 KHz - 1 GHz
   ข. 2 KHz - 1 GHz
   ค. 3 KHz - 1 GHz
   ง. 4 KHz - 1 GHz

9.ดาวเทียมสื่อสาร (Astilite) โคจรอยู่สูงจากพื้นโลกกี่กิโลเมตร

   ก. 32,600 กิโลเมตร
   ข. 33,600 กิโลเมตร
   ค. 34,600 กิโลเมตร
   ง. 35,600 กิโลเมตร

10.ดาวเทียมสื่อสาร (Astilite) ส่งคลื่นใดสู่ผิวโลก

   ก. คลื่นวิทยุ (Radio waves)
   ข. ไมโครเวฟ(Microwave)
   ค. บลูทูธ (bluetooth)
   ง. ดาวเทียมสื่อสาร (Astilite)


เฉลย

1. ก. สายโคแอกเชียล
2. ค. สายใยแก้วนำแสง
3. ค. ดาวเทียม
4. ง. อินฟราเรด
5. ก. คลื่นวิทยุ
6. ข.1- 300 GHz
7. ง.ไมโครเวฟ(Microwave)
8. ค.3 KHz - 1 GHz
9. ง.35,600 กิโลเมตร
10. ข.ไมโครเวฟ(Microwave) 

วันพฤหัสบดีที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

บทที่ 2 ช่องทางการสื่อสารและส่วนประกอบของเครือข่าย

สื่อกลางส่งข้อมูลแบบใช้สาย

1. สายคู่บิดเกลียว

     สายคู่บิดเกลียวแต่ละประเภทจะมีความสามารถในการรับ-ส่งสัญญาณแตกต่างกันออกไป
แบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ

1.1 สายคู่บิดเกลียวแบบหุ้มฉนวน (Shielded Twisted Pair : STP) 

เป็นสายคู่บิดเกลียวที่หุ้มด้วยลวดถักชั้นนอกที่หนาอีกชั้น เพื่อป้องกันการรบกวนของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า นิยมนำมาใช้เป็นสายโทรศัพท์




ข้อดี

– ส่งข้อมูลด้วยความเร็วสูงกว่าแบบไม่หุ้มฉนวน
– ป้องกันคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า และคลื่นวิทยุ

ข้อเสีย

– มีขนาดใหญ่และไม่ค่อยยืดหยุ่นในการงอพับสายมากนัก
– ราคาแพงกว่าสาย แบบไม่หุ้มฉนวน

1.2 สายคู่บิดเกลียวแบบไม่หุ้มฉนวน (Unshielded Twisted Pair : UTP)

เป็น สายคู่บิดเกลียวมีฉนวนชั้นนอกที่บางอีกชั้นทำให้สะดวกในการโค้งงอแต่ไม่สามารถป้องกันคลื่นรบกวนของแม่เหล็กได้ หรือป้องกันได้น้อย เพราะมีราคาต่ำ จึงนิยมใช้ในการเชื่อมต่ออุปกรณ์ในเครือข่าย



ข้อดี

- ราคาถูก
- ติดตั้งง่ายเนื่องจากน้ำหนักเบา
- มีความยืดหยุ่น และสามารถโค้งงอได้มาก

ข้อเสีย

-ไม่เหมาะกับการเชื่อมต่อระยะไกล เพราะสัญญานจะถูกรบกวนและทำให้ช้าลง
(ความยาวไม่ควรเกิน 100 เมตร )


2. สายโคแอกเชียล (coaxial)

     สายโคแอกเชียลที่ใช้ทั่วไปมี 2 ชนิด คือ 50 โอห์มซึ่งใช้ส่งข้อมูลแบบดิจิทัล และชนิด 75 โอห์มซึ่งใช้ส่งข้อมูล สัญญาณแอนะล็อกสายประกอบด้วยลวดทองแดงที่เป็นแกนหลักหนึ่งเส้นที่หุ้มด้วยฉนวนชั้นหนึ่ง เพื่อป้องกันกระแสไฟรั่วจากนั้นจะหุ้มด้วยตัวนำซึ่งทำจากลวดทองแดงถักเป็นเปีย เพื่อป้องกันการรบกวนของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าและสัญญาณรบกวนอื่นๆ ก่อนจะหุ้มชั้นนอกสุดด้วยฉนวนพลาสติกลวดทองแดงที่ถักเป็นเปียนี้เองเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้สายแบบนี้มีช่วงความถี่สัญญาณไฟฟ้าสามารถ ผ่านได้สูงมาก และนิยมใช้เป็นช่องสื่อสารสัญญาณแอนะล็อก เชื่องโยงผ่านใต้ทะเลและใต้ดิน

ข้อดี

-ราคาถูก
-มีความยืดหยุ่นในการใช้งาน
-ติดตั้งง่าย และมีน้ำหนักเบา

ข้อเสีย

-ถูกรบกวนจากสัญญาณภายนอกได้ง่าย 
-ระยะทางจำกัด



3. เส้นใยแก้วนำแสง (Fiber Optic)

     เส้นใยแก้วนำแสงจะประกอบด้วยใยแก้วที่ทำมาจากแก้วซึ่งมีความบริสุทธิ์สูงมาก เส้นใยแก้วนำแสงมีลักษณะเป็นเส้นยาวขนาดเล็ก มีขนาดประมาณเส้นผมของมนุษย์เรา เส้นใยแก้วนำแสงที่ดีต้องสามารถนำสัญญาณแสงจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่งได้ โดยมีการสูญเสียของสัญญาณแสงน้อยมาก หรือบางทีก็ใช้พลาสติกอยู่ตรงกลางของสาย และใช้ใยแก้วอีกชนิดหนึ่งเป็น ตัวหุ้ม (cladding) และ หุ้มด้วยฉนวนในชั้นนอกสุด ซึ่งใยแก้วชั้นนอกจะทำหน้าที่เหมือนกระจกที่สะท้อนสัญญาณแสงให้สะท้อนไปมา ภายในใยแก้วที่เป็นแกนกลางจากจุดเริ่มต้นจนถึงจุดปลายทาง สายใยแก้วจะมีแบนด์วิธที่กว้างมาก ทำให้สามารถส่งข้อมูลปริมาณมากได้ด้วยความเร็วสูงความเร็วในการส่งข้อมูล 1 Gbps ระยะทางในการส่งข้อมูล 20-30 mile(1ไมล์=1.609344) หรือประมาณ 1.61 กิโลเมตร เส้นใยแก้วนำแสงรองรับความถี่สัญญาณได้หลายร้อยเมกะเฮิรตซ์ และยังใช้ได้กับความยาวถึง 2000 เมตร


ข้อดี

-ส่งข้อมูลด้วยความเร็วสูง
-ไม่มีการรบกวนทางแม่เหล็กไฟฟ้า
-ส่งข้อมูลได้ในปริมาณมาก

ข้อเสีย

-มีราคาแพงกว่าสายส่งข้อมูลแบบสายคู่ตีเกลียวและโคแอกเชียล
-ต้องใช้ความชำนาญในการติดตั้ง
-มีค่าใช้จ่ายในการติดตั้งสูงกว่า สายคู่ตีเกลียวและโคแอกเชียล


สื่อกลางส่งข้อมูลแบบไร้สาย

1. คลื่นวิทยุ (Radio waves)

     คลื่นวิทยุหรือ เรียกได้อีกชื่อหนึ่งว่า คลื่นพาหะ เป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าชนิดหนึ่งที่เกิดขึ้นในช่วงความถี่วิทยุบนเส้นสเปกตรัมแม่เหล็กไฟฟ้า คลื่นวิทยุไม่ต้องอาศัยตัวกลางในการเคลื่อนที่ ใช้ในการสื่อสารมี 2 ระบบคือ A.M. และ F.M. คลื่นเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าความถี่สูง ซึ่งมีคุณสมบัติกระจายไปได้เป็นระยะทางไกล ด้วยความเร็วเท่ากับแสงคือ 300 ล้านเมตรต่อวินาทีเครื่องส่งวิทยุจะทำหน้าที่สร้างคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าความถี่สูงหรือคลื่นวิทยุ (RF) ผสมกับคลื่นเสียง (Audio Frequency -AF) แล้วส่งกระจายออกไป คลื่นวิทยุมีช่วงความถี่อยู่ที่ 3 KHz - 1 GHz

ข้อดี

-สามารถส่งข้อมุลได้แบบไร้สายสร้างเครือข่ายได้ไกล

ข้อเสีย

-คลื่นวิทยุอาจถูกรบกวนได้
-แม่เหล็กไฟฟ้าและสภาพอากาศมีผลต่อคลื่นวิทยุ

2.คลื่นไมโครเวฟ (Microwave)

     มีช่วงความถี่ตั้งแต่ 1- 300 GHz เป็นช่วงความถี่ของคลื่นโทรทัศน์และไมโครเวฟ โดยคลื่นสามารถทะลุผ่านชั้นบรรยากาศไปยังนอกโลกสำหรับช่วงความถี่ที่นิยมนำมาใช้ส่งคลื่นโทรทัศน์ คือ คลื่น VHF (30 - 300 MHz) และคลื่น UHF (300 - 3 GHz)คลื่นไมโครเวฟ สามารถส่งสัญญาณได้ไกล 20 ไมล์ ถ้าต้องการส่งข้อมูลให้ไกลออกไป จําเป็นต้องมี จานรับส่งที่ทําหน้าที่ทวนสัญญาณเพื่อส่งต่อในระยะไกลออกไป
ข้อเสียคือ ถูกรบกวนจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าได้ง่าย และสภาพภูมิอากาศส่งผลต่อระบบการสื่อสารข้อจํากัดด้านภูมิประเทศที่มีภูเขาบดบังสัญญาณ และความโค้งของเปลือกโลก


ข้อดี

-ใช้ในพื้นที่ซึ่งการเดินสายกระทำได้ไม่สะดวก
-ราคาถูกกว่าสายใยแก้วนำแสงและดาวเทียม
-ติดตั้งง่ายกว่าสายใยแก้วนำแสงและดาวเทียม
-อัตราการส่งข้อมูลสูง

ข้อเสีย

-สัญญาณจะถูกรบกวนได้ง่ายจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า จากธรรมชาติ เช่น พายุ หรือฟ้าผ่า

3. อินฟราเรด (Infrared)

     แสงอินฟราเรด เป็นคลื่นความถี่สั้น เป็นตัวกลางในการสื่อสารอีกแบบหนึ่งซึ่งมีลักษณะการทำงานคล้ายไมโครเวฟ เป็นแสงที่มีทิศทางในระดับสายตา ไม่สามารถทะลุผ่านวัตถุทึบแสงได้ นิยมใช้ในการติดต่อในระยะทางที่ใกล้ๆมักใช้กับการสื่อสารข้อมูลที่ไม่มีสิ่งกีดขวางระหว่างตัวส่งและตัวรักสัญญาณ

ข้อดี

-ใช้พลังงานน้อย
-ราคาถูกและเรียบง่ายต่อการติดตั้ง
-มีความปลอยภัยของข้อมูลสูง
-คลื่นแทรกจากเครื่องใช้ไฟฟ้าใกลเคียงมีน้อย

ข้อเสีย

-เครื่องส่งและเครื่องรับ ต้องอยู่ในแนวเดียวกัน
-ระยะทางของการสื่อสารน้อย
-ห้ามมีสิ่งกีดขวางระหว่างสัญญาณ

4.บลูทูธ (Bluetooth)

     คือ ระบบการสื่อสารของอุปกรณ์อิเล็กโทนิคแบบสองทาง ที่ใช้เทคนิคการส่งคลื่นวิทยุระยะสั้น (Short-Range Radio Links) เป็น สื่อกลางในการติดต่อสื่อสาร ระหว่างอุปกรณ์ต่างชนิดกัน โดยปราศจากการใช้สายเคเบิ้ล หรือ สายสัญญาณเชื่อมต่อ และไม่จำเป็นต้องใช้การเดินทางแบบเส้นตรงเหมือนกับอินฟราเรด

ข้อดี

-ง่ายต่อการถ่ายโอนข้อมูล
-ประหยัดค่าใช้จ่าย
-ไม่ต้องส่งสัญญาณเปนเส้นทรง 

ข้อเสีย

-ข้อมูลทางบลูทูธอาจเกิดการดักจับได้


5.ดาวเทียมสื่อสาร (Astilite)

     พัฒนาขึ้นมาเพื่อหลีกเลี่ยงข้อจำกัดของสถานีรักส่งไมโครเวฟบนผิวโลกโดนเป็นสถานีรับส่งสัญญาณไมโครเวฟบนอวกาศ ในการส่งสัญญาณต้องมีสถานีภาคพื้นดินคอยทำหน้าที่รับและส่งสัญญาณขึ้นไปบนดาวเทียมที่โคจรอยู่สูงจากพื้นโลกประมาณ 35,600 กิโลเมตร ดังรูปที่ 4.18 โดนดาวเทียมเหล่านั้นจะเคลื่อนที่ด้วยคามเร็วที่เท่ากับการหมุนของโลก จึงเสมือนกับดาวเทียมนั้นอยู่นิ่งกับที่ขณะที่โลกหมุนรอบตัวเอง ทำให้การส่งสัญญาณไมโครเวฟจากสถานีหนึ่งขึ้นไปบนดาวเทียม และการกระจายสัญญาณจากดาวเทียมลงมายังสถานีตามจุดต่างๆ บนผิวโลก เป็นไปอย่างแม่นยำ



ข้อดี

-ส่งสัญญาณในวงกว้างและไกล
- ค่าใช้จ่ายในการให้บริการส่งข้อมูลของระบบดาวเทียมไม่ขึ้นอยู่กับระยะทางที่ห่างกันของสถานีพื้นดิน

ข้อเสีย

-มีเวลาหน่วง (Delay Time) ในการส่งสัญญาณ

วันพฤหัสบดีที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

คำถามท้ายหน่วย ที่ 1

1. จงอธิบายความแตกต่างระหว่างการสื่อสารโทรศัพท์แบบทั่วไปกับแบบ VoIP และบอกข้อดี ข้อเสียของระบบ VoIP 

ตอบ   VoIP คือการสื่อสารทางเสียงผ่านอินเทอร์เน็ต
            ข้อดี      -ลดการใช้จ่าย                                           
                         -ตัวอุปกรณ์ PABX ส่วนกลาง                                                  
                         -การดูแลและจัดการระบบ                                        
                         -เพิ่มความยืดหยุนในการติดต่อสื่อสาร                     
                         -จัดการระบบเครือข่ายได้ง่ายขึ้น                              
                         -รองรับการขยายตัวของระบบ                                    
                         -พัฒนาร่วมกับการสื่อสารไร้สาย

            ข้อเสีย  -มีปัจจัยด้านไฟฟ้าเข้ามาเกี่ยวข้อง

                         -หัวเครื่องโทรศัพท์ 
                         -อุปกรณ์กระจายสัญญาเครือข่าย 
                         -หัวเครื่องราคาสูงกว่า analog-หากเครือข่ายอินเตอร์เน็ตล้มโทรศัพท์ก็ล้มไปด้วย

2.จงอธิบายความหมายของเครือข่ายคอมพิวเตอร์

ตอบ    กลุ่มของคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์สื่อสารต่างๆ ที่นำมาเชื่อมต่อกันเพื่อให้ผู้ใช้ในเครือข่ายสามารถ ติดต่อสื่อสาร แลกเปลี่ยนข้อมูล และใช้อุปกรณ์ต่าง ๆ ร่วมกันในเครือข่ายได้ เช่น
เครือข่ายโทรศัพท์ เครือข่ายดาวเทียม เครือข่ายวิทยุ หรือเครือข่ายคอมพิวเตอร์

3.จงบอกประโยชน์ของระบบเครือข่าย

ตอบ
          – สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
          – สามารถแชร์ซอฟแวร์และฮาร์ดแวร์ได้ เช่น เครื่องพิมพ์ สแกนเนอร์ ฮาร์ดดิสก์ เป็นต้น
          – สามารถรวมการจัดการไว้ในเครื่องที่เป็น server
          – สามารถใช้จดหมายอิเล็กทรอนิกส์(e-mail) เพื่อติดต่อผู้ที่อยู่ไกลกันได้อย่างรวดเร็ว
          – การสนทนาผ่านเครือข่าย(chat)
          – การประชุมทางไกล(video conference)
          – ประหยัดค่าใช้จ่ายในการซื้อซอฟแวร์และฮาร์ดแวร์จำนวนมาก เนื่องจากใช้ร่วมกันได้

4.เครือข่ายคอมพิวเตอร์มีกี่ประเภทอะไรบ้าง

ตอบ  4 ประเภท คือ   1. เครือข่ายส่วนบุคคล หรือแพน ( Personal Area Network: PAN )
                                  2. เครือข่ายเฉพาะที่ หรือแลน ( Local Area Network: LAN )
                                  3. เครือข่ายนครหลวง หรือแมน (Metropolitan Area Network: MAN)
                                  4. เครือข่ายวงกว้าง หรือแวน (Wide Area Network: WAN)

5.จงสรุปหลักการทำงานของแต่ล่ะลำดับขั้นแบบจำลอง OSI

ตอบ    Application layer 
              เลเยอร์นี้เป็นส่วนการสื่อสารได้รับการระบุ
            Presentation layer
              เลเยอร์นี้ เป็นส่วนของระบบปฏิบัติการที่แปลงข้อมูลนำเข้า และส่งออก
            Session layer
              เลเยอร์นี้ ตั้งค่า ประสานงาน แลกเปลี่ยน และหยุดการสนทนา โต้ตอบระหว่างโปรแกรมประยุกต์
            Transport layer
              เลเยอร์นี้ จัดการตัวควบคุม end-to-end
            Network layer
               เลเยอร์นี้ดูแลเส้นทางของข้อมูล ส่งให้ถูกทิศทางไปยังปลายทางที่ถูกต้อง
            Data-link layer
               เลเยอร์นี้ให้การ synchronization สำหรับระดับกายภาค และทำ bit-stuffing
            Physical layer
              เลเยอร์นี้ส่งผ่าน bit system ผ่านเครือข่ายที่ระดับไฟฟ้าและกลไก

วันพฤหัสบดีที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

บทที่1 เครือข่ายการสื่อสาร



เครือข่ายการสื่อสา


เครือข่าย หมายถึง.....

       กลุ่มของคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์สื่อสารชนิดต่าง ๆ ที่นำมาเชื่อมต่อกันเพื่อให้ผู้ใช้ในเครือข่าย สามารถติดต่อสื่อสาร แลกเปลี่ยนข้อมูล และใช้อุปกรณ์ต่าง ๆ ร่วมกันในเครือข่ายได้ ตัวอย่างของเครือข่ายที่เราคุ้นเคย ได้แก่ เครือข่ายของโทรศัพท์ เครือข่ายดาวเทียม เครือข่ายวิทยุ หรือเครือข่ายคอมพิวเตอร์ โดยช่องทางที่ใช้ในการติดต่อสื่อสารกัน เรียกว่า ช่องสัญญาณ(communication channel)



เครืข่ายคอมพิวเตอร์สามารถแบ่งออกเป็นประเภทตามพื้นที่ที่ครอบคลุมการใช้งานของเครือข่ายดังนี้

1. เครือข่ายส่วนบุคคล หรือแพน ( Personal Area Network: PAN )
       เป็นเครือข่ายที่ใช้ส่วนบุคคล เช่น การเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์กับโทรศัพท์มือถือ การเชื่อมต่อพีดีเอกับเครื่องคอมพิวเตอร์ซึ่งการเชื่อมต่อแบบนี้จะอยู่ในระยะใกล้ และมีการเชื่อมต่อแบบไร้สาย



2. เครือข่ายเฉพาะที่ หรือแลน ( Local Area Network: LAN )
       ป็นเครือข่ายที่ใช้ในการเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่อยู่ในพื้นที่เดียวกันหรือใกล้เคียงกัน เช่น ภายในบ้าน ภายในสำนักงาน และภายในอาคาร สำหรับการใช้งานภายในบ้านนั้นอาจเรียกเครือข่ายประเภทนี้ว่า เครือข่ายที่พักอาศัย ( home network ) โดยอาจเป็นการเชื่อมต่อเครื่องคอมพิวเตอร์ตั้งแต่ 2 เครื่อง หรือมากกว่า



3. เครือข่ายนครหลวง หรือแมน (Metropolitan Area Network: MAN)
      เป็นเครือข่ายที่ใช้เชื่อมโยงแลนที่อยู่ห่างไกลออกไป เช่น การเชื่อมต่อเครือข่ายระหว่างสำนักงานที่อาจอยู่คนละอาคารและมีระยะทางไกลกัน การเชื่อมต่อเครือข่ายชนิดนี้อาจใช้สายไฟเบอร์ออพติก หรือบางครั้งอาจใช้ไมโครเวฟเชื่อมต่อ เครือข่ายแบบนี้ใช้ในสถานศึกษามีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าเครือข่ายแคมปัส ( Campus Area Network: CAN )



4. เครือข่ายวงกว้าง หรือแวน (Wide Area Network: WAN)
      เป็นการเชื่อมต่อเครือข่ายคอมพิวเตอร์ระยะไกล ซึ่งมีอยู่ทั่วโลกเข้าด้วยกัน โดยอุปกรณ์แปลงสัญญาณ เช่น โมเด็ม ช่วยในการติดต่อสื่อสารหรือสามารถนำเครือข่ายท้องถิ่นมาเชื่อมต่อกันเป็นเครือข่ายระยะไกล เช่น เครือข่ายอินเทอร์เน็ต เครือข่ายระบบธนาคารทั่วโลก หรือเครือข่ายของสายการบิน เป็นต้น




VoIP คืออะไร.....

       VoIP ย่อมาจาก Voice over Internet Protocol คือการสื่อสารทางเสียงผ่านอินเทอร์เน็ต เป็นเทคโนโลยีใหม่สำหรับการโทรศัพท์ผ่านทางเครือข่าย Internet  ซึ่งมีข้อดีอันดับแรก ๆ ที่เห็นได้ชัดก็คือ  ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการโทรได้ ไม่ว่าจะเป็นการโทรภายในประเทศ  หรือการโทรระหว่างประเทศก็ตาม เพราะการโทรศัพท์ผ่านทางระบบ Internet นั้นไม่จำเป็นที่จะต้องทำงานผ่านทางชุมสายโทรศัพท์  ซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายของส่วนที่ให้บริการด้วย 



การใช้เทคโนโลยี VoIP รูปแบบต่าง

       1. คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล ไปยัง คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล ( PC to PC )
       2. คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล ไปยัง โทรศัพท์พื้นฐาน ( PC to Phone )
       3.จากเครื่องโทรศัพท์สู่เครื่องคอมพิวเตอร์ (Phone-to-PC)
       4. โทรศัพท์กับโทรศัพท์ ( Telephony )


















ส่วนประกอบของระบบสื่อสารข้อมูล


การสื่อสารข้อมูลมีองค์ประกอบ 5 อย่างคือ.....


1. ผู้ส่ง (Sender) เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการส่งข่าวสาร (Message) เป็นต้นทางของการสื่อสารข้อมูลมีหน้า     ที่เตรียมสร้างข้อมูล เช่น ผู้พูด โทรทัศน์ กล้องวิดีโอ เป็นต้น

2. ผู้รับ (Receiver) เป็นปลายทางการสื่อสาร มีหน้าที่รับข้อมูลที่ส่งมาให้ เช่น ผู้ฟัง เครื่องรับโทรทัศน์เครื่องพิมพ์ เป็นต้น

3. สื่อกลาง (Medium) หรือตัวกลาง เป็นเส้นทางการสื่อสารเพื่อนำข้อมูลจากต้นทางไปยังปลายทาง  สื่อส่งข้อมูลอาจเป็นสายคู่บิดเกลียว สายโคแอกเชียล สายใยแก้วนำแสง หรือคลื่นที่ส่งผ่านทางอากาศเช่น เลเซอร์ คลื่นไมโครเวฟ คลื่นวิทยุภาคพื้นดิน หรือคลื่นวิทยุผ่านดาวเทียม

4. ข้อมูลข่าวสาร (Message) คือสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์ที่ส่งผ่านไปในระบบสื่อสาร ซึ่งอาจถูกเรียกว่า  สารสนเทศ (Information) โดยแบ่งเป็น 5รูปแบบ ดังนี้
       4.1 ข้อความ (Text) ใช้แทนตัวอักขระต่าง ๆ ซึ่งจะแทนด้วยรหัสต่าง ๆ เช่น รหัสแอสกี เป็นต้น
       4.2 ตัวเลข (Number) ใช้แทนตัวเลขต่าง ๆ ซึ่งตัวเลขไม่ได้ถูกแทนด้วยรหัสแอสกีแต่จะถูกแปลงเป็นเลขฐานสองโดยตรง
       4.3 รูปภาพ (Images) ข้อมูลของรูปภาพจะแทนด้วยจุดสีเรียงกันไปตามขนาดของรูปภาพ
       4.4 เสียง (Audio) ข้อมูลเสียงจะแตกต่างจากข้อความ ตัวเลข และรูปภาพเพราะข้อมูลเสียงจะเป็น สัญญาณต่อเนื่องกันไป
       4.5 วิดีโอ (Video) ใช้แสดงภาพเคลื่อนไหว ซึ่งเกิดจากการรวมกันของรูปภาพหลาย ๆ รูป

5. โปรโตคอล (Protocol) คือ วิธีการหรือกฎระเบียบที่ใช้ในการสื่อสารข้อมูลเพื่อให้ผู้รับและผู้ส่งสามารถเข้าใจกันหรือคุยกันรู้เรื่อง โดยทั้งสองฝั่งทั้งผู้รับและผู้ส่งได้ตกลงกันไว้ก่อนล่วงหน้าแล้ว ในคอมพิวเตอร์โปรโตคอลอยู่ในส่วนของซอฟต์แวร์ที่มีหน้าที่ทำให้การดำเนินงาน ในการสื่อสารข้อมูลเป็นไปตามโปรแกรมที่กำหนดไว้ ตัวอย่างเช่น X.25, SDLC, HDLC, และ TCP/IP เป็นต้น


ประโยชน์ของเครือข่ายคอมพิวเตอร์

     – สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
     – สามารถแชร์ซอฟแวร์และฮาร์ดแวร์ได้ เช่น เครื่องพิมพ์ สแกนเนอร์ ฮาร์ดดิสก์ เป็นต้น
     – สามารถรวมการจัดการไว้ในเครื่องที่เป็น server
     – สามารถใช้จดหมายอิเล็กทรอนิกส์(e-mail) เพื่อติดต่อผู้ที่อยู่ไกลกันได้อย่างรวดเร็ว
     – การสนทนาผ่านเครือข่าย(chat)
     – การประชุมทางไกล(video conference)
     – ประหยัดค่าใช้จ่ายในการซื้อซอฟแวร์และฮาร์ดแวร์จำนวนมาก เนื่องจากใช้ร่วมกันได้

แบบจำลอง osi คืออะไร.....

     เป็นรูปแบบความคิดที่พรรณนาถึงคุณสมบัติพิเศษและมาตรฐานการทำงานภายในของระบบการสื่อสารโดยแบ่งเป็นชั้นนามธรรม และโพรโทคอลของระบบคอมพิวเตอร์ พัฒนาขึ้นโดยองค์การระหว่างประเทศว่าด้วยการมาตรฐาน (ISO) สามารถทำงานร่วมกับผลิตภัณฑ์อื่น แบบจำลองอ้างอิงกำหนดเป็น 7 เลเยอร์ ของการทำงานที่เกิดขึ้นที่ จุดปลายของการสื่อสาร ถึงแม้ว่า OSI จะไม่เข้มงวดใน ด้านการรักษาความสัมพันธ์ กับฟังก์ชันอื่นในเลเยอร์ที่กำหนด แต่ผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่ ในด้านโทรคมนาคมพยายาม ที่จะกำหนดตัวเองให้สัมพันธ์ กับแบบจำลอง OSI ซึ่งเป็นประโยชน์ในฐานะ การอ้างอิงแบบเดียว ในด้านการสื่อสาร มีผลทำให้ทุกคนมีบรรทัดเดียวกันในการศึกษาและแลกเปลี่ยน

การแบ่งชั้นในแบบจำลอง OSI

     โมเดลนี้ได้ถูกแบ่งย่อยออกเป็น 7 ชั้น ตามลำดับจากบนลงล่าง ได้แก่



Application layer

   เลเยอร์นี้เป็นส่วนการสื่อสารได้รับการระบุ, คุณภาพการบริการมีการระบุ, user authentication และส่วนบุคคลได้รับการพิจารณา

Presentation layer

   เลเยอร์นี้ เป็นส่วนของระบบปฏิบัติการที่แปลงข้อมูลนำเข้า และส่งออกจากรูปแบบการนำเสนอไม่เป็นรูปแบบอื่น เช่น จากชุดข้อความ เป็น popup window กับ ข้อความที่มาถึงใหม่


Session layer

   เลเยอร์นี้ ตั้งค่า ประสานงาน แลกเปลี่ยน และหยุดการสนทนา โต้ตอบระหว่างโปรแกรมประยุกต์ที่แต่ละจุดปลาย ซึ่งเกี่ยวข้องถึง session และการประสานเชื่อมต่อ

Transport layer

   เลเยอร์นี้ จัดการตัวควบคุม end-to-end เช่น การหาว่าแพ็คเกตทั้งหมดมาถึงครบหรือไม่ และตรวจสอบความผิดพลาด เป็นการทำให้มั่นใจว่าการส่งผ่านข้อมูลสมบูรณ์


Network layer

   ลเยอร์นี้ดูแลเส้นทางของข้อมูล ส่งให้ถูกทิศทางไปยังปลายทางที่ถูกต้อง ขณะที่ส่งผ่านออกไป และการรับ เมื่อส่งผ่านเข้ามาที่ระดับแพ็คเกต network layer ทำงานด้านเส้นทางและการส่งต่อ


Data-link layer

   เลเยอร์นี้ให้การ synchronization สำหรับระดับกายภาค และทำ bit-stuffing สำหรับข้อความของ 1 มากกว่า 5 เปิดการรับรู้และจัดการโปรโตคอลการส่งผ่าน


Physical layer

   เลเยอร์นี้ส่งผ่าน bit system ผ่านเครือข่ายที่ระดับไฟฟ้าและกลไก เป็นการให้วิธีการกับฮาร์ดแวร์ในการส่งและรับข้อมูลบนตัวกลาง

หน่วยที่ 1 ระบบสารสนเทศเพื่อสนับสนุนการตัดสินใจ

ระบบสารสนเทศ      ระบบสารสนเทศ (Information Systems) คือ กระบวนการรวบรวม บันทึก ประมวลผลข้อให้เป็นสารสนเทศ และแจกจ่ายสารสนเทศเพื่อใช้ใ...